วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบบบ้านลอยน้ำ เพื่อประโยชน์แก่สาธารณะชน ที่เดือดร้อนประสบปัญหาน้ำท่วมบ่อย

27 กันยายน พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับ “บ้านลอยน้ำ”

กรมโยธาธิการและผังเมืองจึงได้ออกแบบบ้านหลังนี้ขึ้นโดยปรับใช้แนวคิดจาก “บ้านลอยน้ำท่าขนอน” และเรือนแพของชาวบ้านในอดีต นำมาประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ซึ่งในฤดูแล้งตัวบ้านจะตั้งอยู่บนพื้นดินตามปกติ แต่เมื่อมีน้ำท่วมก็จะลอยขึ้นตามระดับน้ำได้ โดยจะมีการยึดตัวบ้านไว้กับเสาหลักทั้งที่มุมเพื่อป้องกันการโคลงตัวหรือลอยไปตามกระแสน้ำ และเมื่อระดับน้ำลดลงตัวบ้านก็จะกลับมาตั้งอยู่บนพื้นดินตามเดิม

ขนาดของบ้านลอยน้ำที่ได้ออกแบบขึ้นนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของขนาดวัสดุสำเร็จรูปที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด เพื่อให้เป็นการใช้วัสดุที่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้และทำการก่อสร้างได้ง่าย เนื่องจากมีระบบวิศวกรรมโครงสร้างเป็นรูปแบบอย่างง่าย ชาวบ้านที่มีความรู้ด้านช่างในระดับทั่วไปก็จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เอง

บ้านหลังนี้มีขนาดพื้นที่รวมประมาณ 60 ตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่ใหญ่มาก เพื่อความสะดวกในการก่อสร้างและการลอยน้ำแต่หากมีความต้องการพื้นที่เพิ่มขึ้นก็อาจเชื่อมต่อหลายหลังเข้าด้วยกัน โดยใช้สะพานทางเชื่อมพาดระหว่างชานรอบตัวบ้าน

สำหรับราคาค่าก่อสร้างประมาณการได้ว่ากรณีดำเนินการก่อสร้างเองจะมีราคาประมาณหลังละ 719,000 บาท หากจ้างเหมาราคาประมาณหลังละ 915,000 บาทเนื่องจากต้องมีการคิดค่าดำเนินการ กำไรและภาษีด้วย

แบบบ้านลอยน้ำของกรมโยธาธิการและผังเมืองนี้ น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องอยู่อาศัยในพื้นที่ที่อาจต้องประสบภัยน้ำท่วมตามฤดูกาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อยู่อาศัยในบริเวณที่เป็นที่ลุ่ม โดยอาจปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบและพื้นที่ใช้สอยให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องตามความต้องการที่แท้จริงของตนเองต่อไป











วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

WITH MY LIFE

เมื่อคืนก่อนเราอยู่ที่สนามบิน...

ด้วยสถานการที่ค่อนข้างวุ่นวายเพราะเป็นวันที่สนามบินทางยุโรปเริ่มเปิด และมีผู้โดยสารตกค้างมากมายที่ต้องการเดินทางกลับบ้าน...

ได้มีผู้โดยสารชาวสวิสคนหนึ่งเดินทางในชั้นธุรกิจแต่มาเข้าแถวที่ชั้นประหยัด ขณะทำการตรวจบัตรโดยสารเราแอบสังเกตุ ว่าเขาเหมือนมีอะไรในใจ เหมือนมีอะไรอยากจะพูด ได้แต่จ้องหน้าเรา แล้วไม่พูดอะไร...

จนเสร็จขั้นตอนการตรวจเอกสาร หลังจากเราคืนบัตรที่นั่งไป ผู้โดยสารท่านนั้นก็ยังไม่เดินจากไปกลับจ้องที่หน้าอกเรา แล้วบอกกับเราว่า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...

"PLEASE TAKE CARE OF YOUR KING."

เราแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่พูดอะไรไม่ออกได้แต่ขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก...

หลังจากเขาจากไปแล้วเราก็นึกขึ้นได้ว่าเพราะเราติดเข็มกลัดสัญลักษณ์ครองราชหกสิบปีไว้ที่หน้าอกนี่เองเขาจึงกล้าพูดกับเรา เราจึงได้แต่ตอบในใจว่า...

...WITH MY LIFE...

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาพในมุมที่คุณไม่ได้เห็นกันง่ายนัก











ไปอ่านมาจากบอร์ดหนึ่ง อ่านแล้วน้ำตาไหลเลย และรักในหลวงมากขึ้นไปอีก ชีวิตนี้ขอตายแทนพระองค์ได้เลย เพื่อนๆลองอ่านดูนะ

สาเหตุโรคพระหทัยของในหลวง...จนเกือบพระประชวรหนัก!!
ทุกคนคงทราบกันดีว่าในหลวงทรงมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัย
หากจำกันได้
ในหลวงเคยต้องทรงรับการผ่าตัดใหม่ แล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2538
ครั้งนั้นพสกนิกรทั้งแผ่นดินแทบไม่เป็นอันทำอะไร
ใครๆก็รู้ว่าโรคหัวใจไม่ใช่โรคล้อกันเล่นๆ ได้
ทั้งสมัยนั้นการผ่าตัดหัวใจก็เสี่ยงพอดู แต่ทุกอย่างก็เป็นไปโดยเรียบร้อย
แต่ทราบกันหรือไม่ว่าสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกตินี้ มาจากอะไร ?
ราวปี 2530 ในหลวงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่
ทรงพบว่าชาวบ้านจำนวนมากเป็นโรคคอพอก
ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทูลว่า มีการเอาเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประจำ
แต่ชาวบ้านไม่ยอมใช้ เพราะไม่รู้จักก็กลัวจะเป็นอันตราย
ในหลวงจึงรับสั่งให้นำเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประชาชนด้วยพระหัตถ์
ชาวบ้านได้รับเกลือพระราชทาน จึงยอมเชื่อว่าเกลือชนิดนี้กินได้
จนแพร่หลายต่อๆมา ปัจจุบันไม่มีคนป่วยโรคคอพอกที่สะเมิงแล้ว
นอกจากนี้ยังทรงเสด็จขึ้น-ลงสะเมิงอีกหลายครั้ง
เพื่อติดตามแก้ปัญหาเรื่องน้ำและถนน จนชาวบ้านทำกินกันได้เป็นปกติสุข
มีรายได้เลี้ยงชีพได้พอเพียง หากกลับเป็นพระองค์เองที่ทรงพระประชวร!
ในหลวงทรงได้รับเชื้อไมโครพลาสม่าจากการเสด็จไปที่สะเมิงนี้เอง
อันเป็นสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน
แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้
ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด
จนกระทั่งต้องทรงรับการผ่าตัดใหม่ เมื่อปี 2538 ดังเล่ามาแล้ว
ในหลวงเคยมีพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า....
' ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่า
ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต '
เป็นถ้อยรับสั่งที่แสนจะเรียบง่าย ราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดาเสียเหลือเกิน!
อ่านแล้ว...อย่าแค่ผ่านเลยไป ช่วยกันจดกันจำเอาไว้ มีเพื่อนบอกเพื่อน
มีครอบครัวขยายต่อให้ทราบทั่วกัน อีกหน่อยมีลูกมีหลาน อย่าลืมเล่าให้พวกเขาฟังด้วยนะ

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องยิ่งใหญ่ที่เข้าใจง่าย

วันที่ในหลวง เสด็จกลับวังสวนจิตรลดา เรากะพ่อนั่งดูทีวีกัน
ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทอดพระเนตรสายน้ำเจ้าพระยาเบื้องหน้า
ข้างพระองค์มีคุณทองแดงสุนัขทรงเลี้ยงที่แสนซื่อสัตย์
ภาพนั้นเราจะจำไม่ลืม...พลันก็มีเสียงพ่อพูดเบาๆ
เล่าเรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราอยากส่งต่อ

พ่อเล่าถึงเรื่องของเพื่อนรักคนหนึ่งที่นั่งคุยกันระหว่างจิบเบียร์ในคืนที่ฝนตกพรำๆ
เพื่อนรักของพ่อคนนั้นเล่าว่า...

วันหนึ่งนั่งรถแท็กซี่ แท็กซี่ก็พูดเรื่องราวต่างๆ
มากมายอย่างที่แท็กซี่สมัยนี้ชอบพูดกัน
เพื่อนพ่อนั่งฟังอยู่สักพักก็บอกกับคนขับว่า ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหม
ผมไม่ใช่สีอะไร หรือเสื้อสีอะไรทั้งนั้น แต่แค่สงสัยว่าคนไทยเป็นอะไรกัน..

ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งไปแย่งอำนาจการปกครองมา
มี ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่แสนจะธรรมดาหลบหลีกความวุ่นวายขณะนั้น
ไปใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ ณ แดนไกล
อาศัยอยู่ตามอัตภาพในประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่ง
จากนั้นเมื่อคนกลุ่มที่ได้อำนาจตกลงกันไม่ได้ก็ตามให้ครอบครัวนั้น กลับมา
แล้วคนในครอบครัวเล็กๆ ธรรมดานั้นก็ทำงานให้คนไทยมาตลอดทั้งชีวิต อย่างทุ่มเท
แล้วพอวันเวลาผ่านไป...จู่ๆ ก็มีคนมาไล่คนๆ นั้นที่ทำงานอย่างไม่เคยอยากได้อะไรตอบแทน
คุณจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน เมื่อเขามีอายุมากขนาดนี้
ถ้าเป็นผมครบ 60 ก็ไม่มีความจำเป็นอะไร ที่จะต้องมาตรากตรำทำงานอีก
ผมเองนี่ก็ใกล้แล้ว นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ
คุณจะให้เขาไปอยู่ไหน...
คนไทยเป็นอะไรกันไปแล้ว...

ความคิดที่ไม่ซับซ้อนของเพื่อนพ่อ และการเล่าเรื่องที่ฟังง่ายๆ
แต่เราว่ามันลึกซึ้งเหลือเกินในความรู้สึก

เราคิดว่าคงไม่ใช่แค่คนขับแท็กซี่หรอกที่นิ่งอึ้งไป
เราก็รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นอะไรสักอย่างอยู่ในลำคอ
คุณก็คงเหมือนกัน...ถ้าคุณยังพอมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านอยู่บ้าง
ท่านที่ทรงงานหนักเพื่อคนไทย
ท่านที่ใครมาบอกว่าร่ำรวยที่สุดในเอเชียอะไรนั่น (คุณคิดเช่นนั้นหรือ)
ท่านผู้ทรงไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเศรษฐีเหมือนที่หลายคนทำ
ท่านที่ทรงเป็นพระผู้ให้คนไทยมากว่า 60 ปี
ท่านผู้ทรงมีพระชนมายุกว่า 80 พรรษา
คุณอยากได้อะไรจากท่านอีกหรือ
คุณเคยทำอะไรให้ใครเท่าท่านผู้นี้หรือไม่...

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คลิปวลีทอง อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ในงานนาฏราช

"ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือ บ้านของพ่อ เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ"

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

สิ่งที่พ่อไม่เคยบอก














ขอให้บอกเรานะ


อาจารย์ปราโมท  นาครทรรพ ให้สัมภาษณ์

ในหลวงทรงทราบ มีคนไม่อยากให้มีสถาบันกษัตริย์ พระองค์ทรงตรัสผ่านกับคนทำงานกับท่านเสมอว่า

"ขอให้บอกเรานะ ว่าจะให้เราปรับตัวอะไรบ้าง"

เหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่โปรดเสวยปลานิล ทุกครั้งที่มีผู้นำปลานิลไปตั้งเครื่องเสวย จะโบกพระหัตถ์ให้ย้ายไปไว้ที่อื่น โดยไม่รับสั่งอะไรเลย


จนวันหนึ่งมีผู้กล้าหาญชาญชัยกราบบังคมทูลถามว่าเพราะเหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล มีรับสั่งว่า
“ก็เลี้ยงมันมา เหมือนลูก แล้วจะกินมันได้อย่างไร”


เรื่องนี้มีตำนาน เชิญอ่าน
20 ปีก่อน ราวพุทธศักราช 2524 แรกครั้งพระจักรพรรดิอากิ ฮิโต แห่งญี่ปุ่น ยังทรงฐานันดรศักดิ์เป็นมกุฎราชกุมาร ได้ส่งปลานิลทางเครื่องบินจำนวน 100 ตัวมาทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง ปรากฏว่า เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทย ปลาตายเกือบหมด เหลือรอดแบบใกล้ตายเพียง 10 ตัว


ในหลวงทรงเป็นห่วงเป็นใยปลานิลเหล่านี้ จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้นำ ไปไว้ในพระที่นั่ง ทรงเลี้ยงอย่างประคบประหงม ให้อาหารด้วยพระองค์เอง จนปลานิลทั้ง 10 ตัวรอดชีวิต


แล้วปลานิลทั้ง 10 ตัว ได้สนองพระเดชพระคุณแพร่พันธุ์ไปอีกมากมาย ตามพระราชประสงค์เป็นอาหารคนไทย 62 ล้านคน มาจนถึงทุกวันนี้

ดีนะที่ชม



มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่า เมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวังคนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง

พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบคนอยู่ ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า
"เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง"

ในหลวง ทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า
"เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง"

(สงสัยคนข้างล่างคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร)
พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวง เป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันไดรีบลงมาก้มกราบ

ในหลวง ทรงตรัสกับช่างว่า
"แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"



คงผ่านได้แล้วนะ



ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว

วันหนึ่ง ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่าน หมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนาน ครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้..
วันนี้ ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ..

ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว

วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรง เยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตาม และทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวาน ว่า
วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ..