วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553
แบบบ้านลอยน้ำ เพื่อประโยชน์แก่สาธารณะชน ที่เดือดร้อนประสบปัญหาน้ำท่วมบ่อย
27 กันยายน พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับ “บ้านลอยน้ำ”
กรมโยธาธิการและผังเมืองจึงได้ออกแบบบ้านหลังนี้ขึ้นโดยปรับใช้แนวคิดจาก “บ้านลอยน้ำท่าขนอน” และเรือนแพของชาวบ้านในอดีต นำมาประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ซึ่งในฤดูแล้งตัวบ้านจะตั้งอยู่บนพื้นดินตามปกติ แต่เมื่อมีน้ำท่วมก็จะลอยขึ้นตามระดับน้ำได้ โดยจะมีการยึดตัวบ้านไว้กับเสาหลักทั้งที่มุมเพื่อป้องกันการโคลงตัวหรือลอยไปตามกระแสน้ำ และเมื่อระดับน้ำลดลงตัวบ้านก็จะกลับมาตั้งอยู่บนพื้นดินตามเดิม
ขนาดของบ้านลอยน้ำที่ได้ออกแบบขึ้นนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของขนาดวัสดุสำเร็จรูปที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด เพื่อให้เป็นการใช้วัสดุที่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้และทำการก่อสร้างได้ง่าย เนื่องจากมีระบบวิศวกรรมโครงสร้างเป็นรูปแบบอย่างง่าย ชาวบ้านที่มีความรู้ด้านช่างในระดับทั่วไปก็จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เอง
บ้านหลังนี้มีขนาดพื้นที่รวมประมาณ 60 ตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่ใหญ่มาก เพื่อความสะดวกในการก่อสร้างและการลอยน้ำแต่หากมีความต้องการพื้นที่เพิ่มขึ้นก็อาจเชื่อมต่อหลายหลังเข้าด้วยกัน โดยใช้สะพานทางเชื่อมพาดระหว่างชานรอบตัวบ้าน
สำหรับราคาค่าก่อสร้างประมาณการได้ว่ากรณีดำเนินการก่อสร้างเองจะมีราคาประมาณหลังละ 719,000 บาท หากจ้างเหมาราคาประมาณหลังละ 915,000 บาทเนื่องจากต้องมีการคิดค่าดำเนินการ กำไรและภาษีด้วย
แบบบ้านลอยน้ำของกรมโยธาธิการและผังเมืองนี้ น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องอยู่อาศัยในพื้นที่ที่อาจต้องประสบภัยน้ำท่วมตามฤดูกาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อยู่อาศัยในบริเวณที่เป็นที่ลุ่ม โดยอาจปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบและพื้นที่ใช้สอยให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องตามความต้องการที่แท้จริงของตนเองต่อไป
กรมโยธาธิการและผังเมืองจึงได้ออกแบบบ้านหลังนี้ขึ้นโดยปรับใช้แนวคิดจาก “บ้านลอยน้ำท่าขนอน” และเรือนแพของชาวบ้านในอดีต นำมาประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ซึ่งในฤดูแล้งตัวบ้านจะตั้งอยู่บนพื้นดินตามปกติ แต่เมื่อมีน้ำท่วมก็จะลอยขึ้นตามระดับน้ำได้ โดยจะมีการยึดตัวบ้านไว้กับเสาหลักทั้งที่มุมเพื่อป้องกันการโคลงตัวหรือลอยไปตามกระแสน้ำ และเมื่อระดับน้ำลดลงตัวบ้านก็จะกลับมาตั้งอยู่บนพื้นดินตามเดิม
ขนาดของบ้านลอยน้ำที่ได้ออกแบบขึ้นนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของขนาดวัสดุสำเร็จรูปที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด เพื่อให้เป็นการใช้วัสดุที่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้และทำการก่อสร้างได้ง่าย เนื่องจากมีระบบวิศวกรรมโครงสร้างเป็นรูปแบบอย่างง่าย ชาวบ้านที่มีความรู้ด้านช่างในระดับทั่วไปก็จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เอง
บ้านหลังนี้มีขนาดพื้นที่รวมประมาณ 60 ตารางเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่ใหญ่มาก เพื่อความสะดวกในการก่อสร้างและการลอยน้ำแต่หากมีความต้องการพื้นที่เพิ่มขึ้นก็อาจเชื่อมต่อหลายหลังเข้าด้วยกัน โดยใช้สะพานทางเชื่อมพาดระหว่างชานรอบตัวบ้าน
สำหรับราคาค่าก่อสร้างประมาณการได้ว่ากรณีดำเนินการก่อสร้างเองจะมีราคาประมาณหลังละ 719,000 บาท หากจ้างเหมาราคาประมาณหลังละ 915,000 บาทเนื่องจากต้องมีการคิดค่าดำเนินการ กำไรและภาษีด้วย
แบบบ้านลอยน้ำของกรมโยธาธิการและผังเมืองนี้ น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องอยู่อาศัยในพื้นที่ที่อาจต้องประสบภัยน้ำท่วมตามฤดูกาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อยู่อาศัยในบริเวณที่เป็นที่ลุ่ม โดยอาจปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบและพื้นที่ใช้สอยให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องตามความต้องการที่แท้จริงของตนเองต่อไป
วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553
WITH MY LIFE
เมื่อคืนก่อนเราอยู่ที่สนามบิน...
ด้วยสถานการที่ค่อนข้างวุ่นวายเพราะเป็นวันที่สนามบินทางยุโรปเริ่มเปิด และมีผู้โดยสารตกค้างมากมายที่ต้องการเดินทางกลับบ้าน...
ได้มีผู้โดยสารชาวสวิสคนหนึ่งเดินทางในชั้นธุรกิจแต่มาเข้าแถวที่ชั้นประหยัด ขณะทำการตรวจบัตรโดยสารเราแอบสังเกตุ ว่าเขาเหมือนมีอะไรในใจ เหมือนมีอะไรอยากจะพูด ได้แต่จ้องหน้าเรา แล้วไม่พูดอะไร...
จนเสร็จขั้นตอนการตรวจเอกสาร หลังจากเราคืนบัตรที่นั่งไป ผู้โดยสารท่านนั้นก็ยังไม่เดินจากไปกลับจ้องที่หน้าอกเรา แล้วบอกกับเราว่า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...
"PLEASE TAKE CARE OF YOUR KING."
เราแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่พูดอะไรไม่ออกได้แต่ขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก...
หลังจากเขาจากไปแล้วเราก็นึกขึ้นได้ว่าเพราะเราติดเข็มกลัดสัญลักษณ์ครองราชหกสิบปีไว้ที่หน้าอกนี่เองเขาจึงกล้าพูดกับเรา เราจึงได้แต่ตอบในใจว่า...
...WITH MY LIFE...
ด้วยสถานการที่ค่อนข้างวุ่นวายเพราะเป็นวันที่สนามบินทางยุโรปเริ่มเปิด และมีผู้โดยสารตกค้างมากมายที่ต้องการเดินทางกลับบ้าน...
ได้มีผู้โดยสารชาวสวิสคนหนึ่งเดินทางในชั้นธุรกิจแต่มาเข้าแถวที่ชั้นประหยัด ขณะทำการตรวจบัตรโดยสารเราแอบสังเกตุ ว่าเขาเหมือนมีอะไรในใจ เหมือนมีอะไรอยากจะพูด ได้แต่จ้องหน้าเรา แล้วไม่พูดอะไร...
จนเสร็จขั้นตอนการตรวจเอกสาร หลังจากเราคืนบัตรที่นั่งไป ผู้โดยสารท่านนั้นก็ยังไม่เดินจากไปกลับจ้องที่หน้าอกเรา แล้วบอกกับเราว่า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...
"PLEASE TAKE CARE OF YOUR KING."
เราแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่พูดอะไรไม่ออกได้แต่ขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก...
หลังจากเขาจากไปแล้วเราก็นึกขึ้นได้ว่าเพราะเราติดเข็มกลัดสัญลักษณ์ครองราชหกสิบปีไว้ที่หน้าอกนี่เองเขาจึงกล้าพูดกับเรา เราจึงได้แต่ตอบในใจว่า...
...WITH MY LIFE...
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ภาพในมุมที่คุณไม่ได้เห็นกันง่ายนัก
ไปอ่านมาจากบอร์ดหนึ่ง อ่านแล้วน้ำตาไหลเลย และรักในหลวงมากขึ้นไปอีก ชีวิตนี้ขอตายแทนพระองค์ได้เลย เพื่อนๆลองอ่านดูนะ
สาเหตุโรคพระหทัยของในหลวง...จนเกือบพระประชวรหนัก!!
ทุกคนคงทราบกันดีว่าในหลวงทรงมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัย
หากจำกันได้
ในหลวงเคยต้องทรงรับการผ่าตัดใหม่ แล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2538
ครั้งนั้นพสกนิกรทั้งแผ่นดินแทบไม่เป็นอันทำอะไร
ใครๆก็รู้ว่าโรคหัวใจไม่ใช่โรคล้อกันเล่นๆ ได้
ทั้งสมัยนั้นการผ่าตัดหัวใจก็เสี่ยงพอดู แต่ทุกอย่างก็เป็นไปโดยเรียบร้อย
แต่ทราบกันหรือไม่ว่าสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกตินี้ มาจากอะไร ?
ราวปี 2530 ในหลวงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่
ทรงพบว่าชาวบ้านจำนวนมากเป็นโรคคอพอก
ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทูลว่า มีการเอาเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประจำ
แต่ชาวบ้านไม่ยอมใช้ เพราะไม่รู้จักก็กลัวจะเป็นอันตราย
ในหลวงจึงรับสั่งให้นำเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประชาชนด้วยพระหัตถ์
ชาวบ้านได้รับเกลือพระราชทาน จึงยอมเชื่อว่าเกลือชนิดนี้กินได้
จนแพร่หลายต่อๆมา ปัจจุบันไม่มีคนป่วยโรคคอพอกที่สะเมิงแล้ว
นอกจากนี้ยังทรงเสด็จขึ้น-ลงสะเมิงอีกหลายครั้ง
เพื่อติดตามแก้ปัญหาเรื่องน้ำและถนน จนชาวบ้านทำกินกันได้เป็นปกติสุข
มีรายได้เลี้ยงชีพได้พอเพียง หากกลับเป็นพระองค์เองที่ทรงพระประชวร!
ในหลวงทรงได้รับเชื้อไมโครพลาสม่าจากการเสด็จไปที่สะเมิงนี้เอง
อันเป็นสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน
แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้
ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด
จนกระทั่งต้องทรงรับการผ่าตัดใหม่ เมื่อปี 2538 ดังเล่ามาแล้ว
ในหลวงเคยมีพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า....
' ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่าเป็นถ้อยรับสั่งที่แสนจะเรียบง่าย ราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดาเสียเหลือเกิน!
ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต '
อ่านแล้ว...อย่าแค่ผ่านเลยไป ช่วยกันจดกันจำเอาไว้ มีเพื่อนบอกเพื่อน
มีครอบครัวขยายต่อให้ทราบทั่วกัน อีกหน่อยมีลูกมีหลาน อย่าลืมเล่าให้พวกเขาฟังด้วยนะ
วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เรื่องยิ่งใหญ่ที่เข้าใจง่าย
วันที่ในหลวง เสด็จกลับวังสวนจิตรลดา เรากะพ่อนั่งดูทีวีกัน
ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทอดพระเนตรสายน้ำเจ้าพระยาเบื้องหน้า
ข้างพระองค์มีคุณทองแดงสุนัขทรงเลี้ยงที่แสนซื่อสัตย์
ภาพนั้นเราจะจำไม่ลืม...พลันก็มีเสียงพ่อพูดเบาๆ
เล่าเรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราอยากส่งต่อ
พ่อเล่าถึงเรื่องของเพื่อนรักคนหนึ่งที่นั่งคุยกันระหว่างจิบเบียร์ในคืนที่ฝนตกพรำๆ
เพื่อนรักของพ่อคนนั้นเล่าว่า...
วันหนึ่งนั่งรถแท็กซี่ แท็กซี่ก็พูดเรื่องราวต่างๆ
มากมายอย่างที่แท็กซี่สมัยนี้ชอบพูดกัน
เพื่อนพ่อนั่งฟังอยู่สักพักก็บอกกับคนขับว่า ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหม
ผมไม่ใช่สีอะไร หรือเสื้อสีอะไรทั้งนั้น แต่แค่สงสัยว่าคนไทยเป็นอะไรกัน..
ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งไปแย่งอำนาจการปกครองมา
มี ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่แสนจะธรรมดาหลบหลีกความวุ่นวายขณะนั้น
ไปใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ ณ แดนไกล
อาศัยอยู่ตามอัตภาพในประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่ง
จากนั้นเมื่อคนกลุ่มที่ได้อำนาจตกลงกันไม่ได้ก็ตามให้ครอบครัวนั้น กลับมา
แล้วคนในครอบครัวเล็กๆ ธรรมดานั้นก็ทำงานให้คนไทยมาตลอดทั้งชีวิต อย่างทุ่มเท
แล้วพอวันเวลาผ่านไป...จู่ๆ ก็มีคนมาไล่คนๆ นั้นที่ทำงานอย่างไม่เคยอยากได้อะไรตอบแทน
คุณจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน เมื่อเขามีอายุมากขนาดนี้
ถ้าเป็นผมครบ 60 ก็ไม่มีความจำเป็นอะไร ที่จะต้องมาตรากตรำทำงานอีก
ผมเองนี่ก็ใกล้แล้ว นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ
คุณจะให้เขาไปอยู่ไหน...
คนไทยเป็นอะไรกันไปแล้ว...
ความคิดที่ไม่ซับซ้อนของเพื่อนพ่อ และการเล่าเรื่องที่ฟังง่ายๆ
แต่เราว่ามันลึกซึ้งเหลือเกินในความรู้สึก
เราคิดว่าคงไม่ใช่แค่คนขับแท็กซี่หรอกที่นิ่งอึ้งไป
เราก็รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นอะไรสักอย่างอยู่ในลำคอ
คุณก็คงเหมือนกัน...ถ้าคุณยังพอมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านอยู่บ้าง
ท่านที่ทรงงานหนักเพื่อคนไทย
ท่านที่ใครมาบอกว่าร่ำรวยที่สุดในเอเชียอะไรนั่น (คุณคิดเช่นนั้นหรือ)
ท่านผู้ทรงไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเศรษฐีเหมือนที่หลายคนทำ
ท่านที่ทรงเป็นพระผู้ให้คนไทยมากว่า 60 ปี
ท่านผู้ทรงมีพระชนมายุกว่า 80 พรรษา
คุณอยากได้อะไรจากท่านอีกหรือ
คุณเคยทำอะไรให้ใครเท่าท่านผู้นี้หรือไม่...
ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทอดพระเนตรสายน้ำเจ้าพระยาเบื้องหน้า
ข้างพระองค์มีคุณทองแดงสุนัขทรงเลี้ยงที่แสนซื่อสัตย์
ภาพนั้นเราจะจำไม่ลืม...พลันก็มีเสียงพ่อพูดเบาๆ
เล่าเรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราอยากส่งต่อ
พ่อเล่าถึงเรื่องของเพื่อนรักคนหนึ่งที่นั่งคุยกันระหว่างจิบเบียร์ในคืนที่ฝนตกพรำๆ
เพื่อนรักของพ่อคนนั้นเล่าว่า...
วันหนึ่งนั่งรถแท็กซี่ แท็กซี่ก็พูดเรื่องราวต่างๆ
มากมายอย่างที่แท็กซี่สมัยนี้ชอบพูดกัน
เพื่อนพ่อนั่งฟังอยู่สักพักก็บอกกับคนขับว่า ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหม
ผมไม่ใช่สีอะไร หรือเสื้อสีอะไรทั้งนั้น แต่แค่สงสัยว่าคนไทยเป็นอะไรกัน..
ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งไปแย่งอำนาจการปกครองมา
มี ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่แสนจะธรรมดาหลบหลีกความวุ่นวายขณะนั้น
ไปใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ ณ แดนไกล
อาศัยอยู่ตามอัตภาพในประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่ง
จากนั้นเมื่อคนกลุ่มที่ได้อำนาจตกลงกันไม่ได้ก็ตามให้ครอบครัวนั้น กลับมา
แล้วคนในครอบครัวเล็กๆ ธรรมดานั้นก็ทำงานให้คนไทยมาตลอดทั้งชีวิต อย่างทุ่มเท
แล้วพอวันเวลาผ่านไป...จู่ๆ ก็มีคนมาไล่คนๆ นั้นที่ทำงานอย่างไม่เคยอยากได้อะไรตอบแทน
คุณจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน เมื่อเขามีอายุมากขนาดนี้
ถ้าเป็นผมครบ 60 ก็ไม่มีความจำเป็นอะไร ที่จะต้องมาตรากตรำทำงานอีก
ผมเองนี่ก็ใกล้แล้ว นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ
คุณจะให้เขาไปอยู่ไหน...
คนไทยเป็นอะไรกันไปแล้ว...
ความคิดที่ไม่ซับซ้อนของเพื่อนพ่อ และการเล่าเรื่องที่ฟังง่ายๆ
แต่เราว่ามันลึกซึ้งเหลือเกินในความรู้สึก
เราคิดว่าคงไม่ใช่แค่คนขับแท็กซี่หรอกที่นิ่งอึ้งไป
เราก็รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นอะไรสักอย่างอยู่ในลำคอ
คุณก็คงเหมือนกัน...ถ้าคุณยังพอมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านอยู่บ้าง
ท่านที่ทรงงานหนักเพื่อคนไทย
ท่านที่ใครมาบอกว่าร่ำรวยที่สุดในเอเชียอะไรนั่น (คุณคิดเช่นนั้นหรือ)
ท่านผู้ทรงไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเศรษฐีเหมือนที่หลายคนทำ
ท่านที่ทรงเป็นพระผู้ให้คนไทยมากว่า 60 ปี
ท่านผู้ทรงมีพระชนมายุกว่า 80 พรรษา
คุณอยากได้อะไรจากท่านอีกหรือ
คุณเคยทำอะไรให้ใครเท่าท่านผู้นี้หรือไม่...
วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
คลิปวลีทอง อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ในงานนาฏราช
"ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือ บ้านของพ่อ เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)